แมวยักษ์ กับแมวนั้นมีอะไรที่เหมือนกันมากกว่าที่คิด ถ้าพูดถึงพฤติกรรมของแมวบ้านนั้น เชื่อว่าอันดับต้น ๆ ต้องเป็นภาพของการงีบหลับบนตักของคุณ หรือร้องขออาหารจากเหล่าทาส แต่รู้ไหมว่า ถึงแม้แมวบ้านจะใช้ชีวิตแบบสบาย ๆ แบบนั้น แต่ความจริงแล้วมันยังมีสัญชาตญานที่ไม่ต่างจากแมวยักษ์ในป่าใหญ่
สิงโต เสือดาว เสือจากัวร์ และเสือชีตาห์ เป็นคำนิยามของความดุร้าย และนักล่า แต่คุณอาจจะต้องแปลกใจว่าพวกมันนั้นมีพฤติกรรมหลายอย่างที่เหมือนกับแมวบ้านตัวอ้วน ซึ่งนี่คือรายการของความคล้ายคลึงกันที่แมวในบ้านมีเหมือนกับลูกพี่ลูกน้องของพวกเขาอย่างแมวยักษ์
1. พวกมันเป็นสัตว์กินเนื้อ
คุณอาจไม่ได้ให้อาหารแมวคุณด้วยเนื้อสด แต่อาหารแมวที่ขายอยู่ตามท้องตลาด (ที่มีคุณภาพ) ก็ทำมาจากเนื้อสัตว์เป็นหลัก นี่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสุขภาพของแมวบ้าน เพราะแมวบ้านของเราเป็นสัตว์กินเนื้อเหมือนกับแมวป่า หมายความว่าพวกเขาต้องกินเฉพาะเนื้อสัตว์เพื่อรับสารอาหารที่จำเป็น
ทางเดินอาหารของพวกมันนั้นไม่เหมาะกับการย่อยพืชผัก ถึงแม้คุณอาจเคยเห็นแมวของคุณแทะต้นหญ้าบ้าง แต่แมวจะไม่ได้รับสารอาหารจากพืชถึงแม้ว่าพวกมันจะกินมากแค่ไหนก็ตาม
เพื่อให้มีสุขภาพที่ดี แมวบ้านต้องพึ่งพาเจ้าของในการให้อาหารที่มีโปรตีนสูงที่เหมาะสมกับสปีชีส์
2. พวกมันชอบไถ
แมวของคุณชอบมาถูขาของคุณใช่ไหม? กี่ครั้งแล้วที่คุณเห็นแมวของคุณถูกับวัตถุรวมทั้งเสารั้ว และเฟอร์นิเจอร์? คำตอบคือ เยอะจนนับไม่ได้ใช่ไหมล่ะ เพราะนี่คือพฤติกรรมน่ารัก ๆ สุดคลาสสิกของน้องแมว แต่ก็มีเหตุผลที่สำคัญเช่นกัน คือแมวจะปล่อยกลิ่น เพื่อทำเครื่องหมายทรัพย์สิน และอาณาเขตโดยการถูกับสิ่งของ
แมวป่าจะไม่เดินเข้ามาไถมนุษย์ด้วยความรักใคร่ และเป็นเจ้าของ แต่พวกมันจะยังคงถูไถไปตามต้นไม้ หิน และเพื่อนของมันในฝูง หรือในกลุ่มครอบครัวของพวกมัน เพื่อทิ้งกลิ่นไว้
ทั่วไปแล้วเมื่อสัตว์เดินทางไปในอาณาเขตที่ไม่คุ้นเคย เมื่อได้กลิ่นของพื้นที่นั้นจะรู้ได้ทันทีที่นั้นมีแมวที่จับจองพื้นที่นั้นแล้วหรือไม่ ทั้งนี้นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่าการที่แมวยักษ์นั้นถูไถกันเองนั้น เป็นวิธีการแสดงความรัก และทำเครื่องหมายว่าเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว
3. พวกมันมีความสามารถในการดมกลิ่นที่ทรงพลัง
การที่แมวถูไถไปตามวัตถุ เพื่อสร้างเครื่องหมายกลิ่นนั้น ได้ผลเฉพาะแมวก็เพราะพวกมันมีความสามารถในการดมกลิ่นที่สูงนั้นเอง
เชื่อกันว่าสายพันธุ์แมวส่วนใหญ่มีความสามารถในการดมกลิ่นสูงกว่ามนุษย์ถึง 14 เท่า พวกมันมีเซ็นเซอร์รับกลิ่นหลายล้านตัวในระบบการดมกลิ่น ซึ่งช่วยให้พวกมันรับกลิ่นที่ละเอียดอ่อนทั้งที่ทิ้งไว้บนวัตถุ และลอยอยู่ในอากาศ
แมวยักษ์จะใช้จมูกล่าสัตว์เป็นหลัก พวกมันสามารถติดตามเหยื่อจากระยะไกลได้ ตราบเท่าที่พวกมันตามรอยกลิ่น ทั้งแมวป่า และแมวบ้านต่างก็ใช้กลิ่นในการระบุตัวตน และการสื่อสาร พวกเขาสามารถรับรู้ได้เมื่อเพศตรงข้ามสนใจที่จะผสมพันธุ์ และเมื่อสัตว์คู่ต่อสู้ทำเครื่องหมายอาณาเขตอย่างก้าวร้าว
4. วงจรการนอนหลับที่เหมือนกัน
จึงเป็นเรื่องปกติที่แมวบ้านจะตื่นแต่เช้า เพื่อวิ่งออกไปทั่วบ้าน พวกมันยังกระปรี้กระเปร่าในตอนเย็นหลังจากวันพักผ่อนอันแสนผ่อนคลาย และงีบหลับ นั่นเป็นเพราะว่าแมวนอนตอนกลางวัน และตื่นตัวมากที่สุดในตอนเช้ามืด และพลบค่ำ
บทความที่เกี่ยวข้อง : Why Do Cats Sleep So Much
ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ แมวยักษ์ ก็ตื่นอยู่ในป่าเช่นกัน แมว สิงโต และ เสือป่า สามารถนอนหลับได้มากถึง 15 ชั่วโมงต่อวัน แต่พวกมันยังใช้ประโยชน์จากแสงสลัวในยามเช้า และพลบค่ำ เช่นเดียวกับแมวบ้าน แมวยักษ์มองเห็นตอนกลางคืนได้ดี
ดวงตาของพวกมันมีลักษณะพิเศษที่ช่วยให้มองเห็นได้ชัดเจนในที่มืด ในขณะที่สัตว์อื่น ๆ มองไม่เห็นในความมืด ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือ ในขณะที่แมวยักษ์ใช้สายตาพิเศษนี้ เพื่อล่าเหยื่อ แมวบ้านของคุณใช้การมองเห็นตอนกลางคืน เพื่อเล่นกับเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ของคุณในขณะที่คุณหลับ
5. มีกรงเล็บที่ซ่อนหดได้ และ แผ่นรองอุ้งเท้าที่บอบบาง
แน่นอนว่าคงไม่มีใครอยากเข้าใกล้กรงเล็บของเสือ หรือ สิงโต มากเกินไป แต่โชคดีที่คุณสามารถเทียบหน้าตากรงเล็บโดยศึกษาเท้าของแมวบ้านแทนได้ ทั้งแมวยักษ์ และแมวบ้าน มีอุ้งเท้าที่ยืดหยุ่น และมีกรงเล็บที่หดได้
ซึ่งอุ้งเท้าแบบนี้ ช่วยให้พวกเขาเดินบนพื้นผิวต่าง ๆ ได้โดยไม่ทำให้นิ้วเท้าติดขัด หรือทำให้จุดแหลมคมเหล่านั้นสึก เสือชีตาห์เป็นแมวสายพันธุ์เดียวที่ฝ่าฝืนกฎนี้ พวกเขาต้องการกรงเล็บแบบกึ่งหดได้ เพื่อขับเคลื่อนไปข้างหน้า และควบคุมการบังคับเลี้ยวด้วยความเร็วสูง
บทความที่เกี่ยวข้อง : How Fast Can A Cat Run?
แมวทุกตัวใช้อุ้งเท้า และกรงเล็บ เพื่อโค่นเหยื่อ แม้ว่าเหยื่อนั้นจะเป็นแค่หนู หรือมากกว่านั้น นอกจากนี้พวกมันยังใช้อุ้งเท้า เพื่อรับข้อมูลทางประสาทสัมผัสที่สำคัญ อุ้งเท้าของพวกมันถูกหุ้มด้วยปลายประสาทซึ่งทำให้พวกมันไวต่ออุณหภูมิ แรงกด และพื้นผิว พวกมันอ่อนไหวมาก ทั้งแมวตัวใหญ่ และแมวบ้านสามารถใช้อุ้งเท้าเพื่อตรวจจับเสียงสั่นสะเทือนได้
6. สัญชาตญาณการเอาตัวรอดตามธรรมชาติ
แมวบ้านที่ได้รับการปรนเปรอนั้นจะไม่ต้องกังวลกับการอยู่รอดของพวกมัน พวกมันมีอาหารมาเสิร์ฟหลาย ๆ มื้อทุกวัน นอนบนเตียงที่นุ่มสบาย และอาศัยในบ้านที่อบอุ่น
อย่างไรก็ตาม ภายใต้ความเป็นบ้านนั้น แมวบ้านทุกตัวมีสัญชาตญาณเกี่ยวกับวิธีการเอาตัวรอด คุณสามารถสังเกตุสัญชาตญาณตามธรรมชาติเหล่านี้ได้ในพฤติกรรมประจำวันของแมวของคุณ
ตัวอย่างเช่น แมวสะดุ้งง่าย เพราะพวกมันต้องตื่นตัวต่ออันตรายอยู่เสมอ พวกมันมักจะไปอาศัยตามที่ที่อบอุ่น ปฏิเสธอาหารรสขม และเล่นกับของเล่นเหยื่อปลอม
นิสัยเหล่านี้สอดคล้องกับพฤติกรรมที่แมวยักษ์ทำอยู่ทุกวัน เพื่อความอยู่รอด ทักษะที่สิงโตใช้สะกดรอยตามเหยื่อด้วยการแฝงตัวในพงหญ้านั้นมีอยู่ในแมวบ้านของคุณ โดยพวกมันกระโจนจากหลังเก้าอี้อย่างสนุกสนาน เพื่อตะคลุบไม้ตกแมวขนนก
7. แมวยักษ์ และ แมวบ้าน ชอบเล่น
แมวยักษ์ดุร้าย เพราะความจำเป็น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกมันไม่รู้ว่าจะมีช่วงเวลาที่ดีอย่างไร เช่นเดียวกับสัตว์เลี้ยงขี้เล่นของคุณ แมวป่าชอบที่จะคลายเครียด และสร้างสัมพันธ์กับผู้อื่นผ่านการเล่น วัยเด็กมีแนวโน้มที่จะเล่นมากกว่าผู้ใหญ่ แต่ถึงกระนั้นแมวป่าที่แก่กว่าก็มักจะฟัดกันแบบเล่น ๆ
เช่นเดียวกับแมวบ้าน แมวป่าใช้การเล่น เพื่อเรียนรู้ทักษะพื้นฐานทางสังคม และการล่าสัตว์ พวกเขาแย่งชิงกับเพื่อนร่วมครอกของพวกเขาในการต่อสู้ และวิ่งไล่ตามกัน พวกเขาเรียนรู้วิธีโต้ตอบกับคนอื่น ๆ ในกลุ่มครอบครัว และดูเหมือนจะสนุกกับการทำตัวงี่เง่า
แม้ว่าเพื่อนแมวของคุณจะงีบหลับบนโซฟา แต่ก็มีความดุร้ายแฝงอยู่บ้าง อย่างไรก็ตามแมวบ้านถูกเลี้ยงมาเป็นเวลากว่า 10,000 ปีแล้ว แต่พวกมันกับแมวในป่ายังคงมีความคล้ายคลึงกันมากอยู่
ที่มา